รู้ลึกปัญหาไฟช็อต! และ 6 ปัญหาไฟฟ้าที่พบบ่อย พร้อมแนวทางแก้ไข
|

1. ปัญหาไฟช็อต
ปัญหาไฟช็อตเป็นสถานการณ์อันตรายที่เกิดขึ้นเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายมนุษย์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างผิดปกติ มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้ามาก หรือเมื่ออุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุด
สาเหตุของปัญหาไฟช็อต
ปัญหาไฟช็อตเกิดจากสายไฟที่เก่าหรือชำรุดที่ปล่อยให้มีการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพหรือเสียหายที่กลายเป็นแหล่งกำเนิดของไฟช็อตได้ง่าย นอกจากนี้ การสัมผัสสายไฟที่ไม่มีฉนวนหุ้มหรือสายไฟแรงสูงโดยตรงก็เป็นอันตรายร้ายแรง
ขณะที่ความชื้นและน้ำซึ่งเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีก็เพิ่มความเสี่ยงเมื่อสัมผัสกับอุปกรณ์ไฟฟ้า ท้ายที่สุด การติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่อาจนำไปสู่อุบัติเหตุทางไฟฟ้าที่ร้ายแรงได้
ผลเสียที่ส่งผลต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า
ปัญหาไฟช็อตส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าในหลายด้าน โดยกระแสไฟฟ้าที่มากเกินไปสามารถทำลายชิ้นส่วนภายในอุปกรณ์ ทำให้เกิดความเสียหายทันที นอกจากนี้ ไฟช็อตยังอาจก่อให้เกิดการลัดวงจรซึ่งเป็นอันตรายมาก เพราะนอกจากจะทำให้อุปกรณ์หยุดทำงานแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ที่สร้างความเสียหายในวงกว้าง
สำหรับอุปกรณ์ที่ไม่ได้รับความเสียหายรุนแรงทันที การเผชิญกับไฟช็อตซ้ำๆ จะส่งผลให้อุปกรณ์เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง จนต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่โดยไม่จำเป็น
แนวทางการแก้ไขและป้องกัน
การป้องกันอันตรายจากไฟช็อตควรเริ่มจากการตรวจสอบสภาพสายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการติดตั้งระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น สายดินและเครื่องตัดไฟรั่ว ซึ่งเป็นด่านสำคัญในการป้องกันไฟช็อต นอกจากนี้ การเลี่ยงสัมผัสอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วยมือเปียกและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย ยังเป็นวิธีป้องกันที่ง่ายแต่มีประสิทธิภาพ
วิธีแก้ไฟช็อตเกิดอุบัติเหตุจากไฟฟ้า สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรีบตัดวงจรไฟฟ้าทันที และโทรเรียกความช่วยเหลือทางการแพทย์โดยไม่ชักช้า เพราะความรวดเร็วในการรับมืออาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความรุนแรงของการบาดเจ็บหรือแม้กระทั่งช่วยชีวิตได้
2. ปัญหาแรงดันไฟตก
ปัญหาแรงดันไฟตกคือภาวะที่แรงดันไฟฟ้าในระบบต่ำกว่าระดับปกติ ส่งผลให้อุปกรณ์ไฟฟ้าทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพหรือหยุดทำงาน มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง เช่น ช่วงฤดูร้อน หรือช่วงเวลาเร่งด่วน
สาเหตุของปัญหาไฟตก
สาเหตุของปัญหาแรงดันไฟตกมีดังนี้
- การใช้ไฟฟ้าเกินกำลัง การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชนิดพร้อมกันอาจทำให้เกิดการดึงกระแสไฟฟ้ามากเกินไป ส่งผลให้แรงดันไฟฟ้าตก
- สายส่งไฟฟ้าเก่าหรือมีขนาดเล็ก สายส่งไฟฟ้าที่ไม่สามารถรองรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นได้อาจทำให้แรงดันไฟฟ้าตก
- ระยะทางจากสถานีไฟฟ้า บ้านหรืออาคารที่อยู่ไกลจากสถานีไฟฟ้าอาจประสบปัญหาแรงดันไฟฟ้าตก เนื่องจากแรงดันไฟฟ้าจะลดลงตามระยะทาง
- อุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุด อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ชำรุดหรือมีปัญหาอาจทำให้เกิดการดึงกระแสไฟฟ้าผิดปกติ ส่งผลให้แรงดันไฟฟ้าตก
ผลเสียที่ส่งผลต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า
ผลกระทบของปัญหาแรงดันไฟตกที่ตามมา คือทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เกิดความร้อนสูงจนอาจเสียหายได้ และมีอายุการใช้งานที่สั้นลง โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ต้องการแรงดันไฟฟ้าคงที่อย่างเครื่องปรับอากาศ ก็อาจไม่ทำงานเลย การแก้ไขปัญหานี้จึงมีความสำคัญ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อทรัพย์สินและยืดอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าให้นานขึ้น
แนวทางการแก้ไขและป้องกัน
แนวทางการแก้ปัญหาและป้องกันปัญหาแรงดันไฟตก มีดังนี้
- ตรวจสอบการใช้ไฟฟ้า หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินไฟสูงพร้อมกัน
- ติดตั้งเครื่องปรับแรงดันไฟฟ้า หรือ Stabilizer จะช่วยรักษาระดับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่
- ตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในบ้าน ตรวจสอบสายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าว่ามีการชำรุดหรือไม่
- แจ้งการไฟฟ้า หากเกิดปัญหาแรงดันไฟตกบ่อยครั้ง ให้แจ้งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้านครหลวง เพื่อตรวจสอบและแก้ไข
- เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟ การใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟจะช่วยลดการใช้พลังงานโดยรวม
3. ปัญหาไฟดับ
ไฟดับ คือ การที่เครือข่ายพลังงานไฟฟ้าเกิดความเสียหาย มีอาการไฟสูญใช้งานไม่ได้ชั่วขณะ มักเกิดบ่อยในช่วงหน้าฝน ฝนตกไฟดับ ลมแรง หรือมีพายุ บางครั้งอาจเกิดจากการขัดข้องหรือชำรุดของอุปกรณ์ไฟฟ้าในระบบจ่ายไฟ การลัดวงจรของระบบส่งไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งปัญหาไฟดับก่อให้เกิดความเสียหายและอันตรายอย่างมาก โดยเฉพาะสถานที่ที่จำเป็นต้องใช้ไฟในเรื่องของความปลอดภัย อาทิ โรงพยาบาล
สาเหตุของไฟดับ
ไฟดับเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ การหาสาเหตุที่ถูกต้องจะช่วยให้แก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น
- ระบบไฟฟ้าขัดข้อง – สาเหตุจากการใช้ไฟฟ้าเกินกำลังจนเกิดปัญหาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ไฟฟ้ารั่ว ไฟฟ้าช็อต ไฟตก
- ภัยธรรมชาติ – เช่น ฝนตก พายุ ไฟป่า หรือฟ้าผ่า ทำให้ฟิวส์หรืออุปกรณ์ป้องกันบางอย่างเกิดทำงานผิดปกติ หรือ ชำรุด
- สภาพแวดล้อม – ส่วนใหญ่เกิดจากต้นไม้ที่ขึ้นสูงรบกวนการทำงานของสายไฟ จนเกิดไฟฟ้าลัดวงจร
- สัตว์ – สัตว์ใดๆ ก็ตามที่ขึ้นไปอยู่บนเสาไฟฟ้า หรือสายไฟฟ้า ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรอุบัติเหตุ – เห็นได้ชัดเลยว่าอุบัติเหตุประมาททางรถยนต์ อย่างขับรถชนเสาไฟฟ้า มักจะก่อให้เกิดปัญหาไฟดับตามมา
- ระบบผลิตไฟฟ้าขัดข้อง – เกิดการดับกะทันหัน ไม่ทราบสาเหตุ
- การไฟฟ้าดับกระแสไฟฟ้า – การทำงานของทางการไฟฟ้าที่จำเป็นต้องตัดกระแสไฟฟ้า เพื่อบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าตามพื้นที่ต่างๆ
- ค้างค่าชำระบริการ – เป็นไปได้ว่าสาเหตุที่ไฟใช้งานไม่ได้ อาจเกิดจากการค้างชำระค่าบริการ อย่าลืมตรวจสอบก่อนว่าเราลืมชำระค่าบริการเดือนนี้หรือเปล่า
ผลเสียของไฟดับที่ส่งผลต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า
ปัญหาไฟดับส่งผลเสียแก่เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมอเตอร์ เช่น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องซักผ้า การที่มอเตอร์หยุดชะงักกะทันหัน ทำให้เกิดความเสียหายได้หากเกิดไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง หรือเกิดข้อมูลสูญหายหรือเสียหายในอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ หรือระบบจัดเก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่ไม่ได้ปิดอย่างถูกต้อง
แนวทางและวิธีแก้ไขเมื่อไฟดับ
เมื่อไฟดับเราควรมีสติ รับมือและแก้ไขปัญหาไฟดับจากสาเหตุต่างๆ โดยสามารถปฏิบัติตามได้ดังนี้
- หาสาเหตุของไฟดับ – ตั้งสติและพิจารณาสาเหตุปัญหาไฟดับที่เกิดขึ้น เพื่อรับมืออย่างถูกต้อง
- ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด – ควรปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านทั้งหมด ป้องกันไฟกระชาก ก่อความเสียหายแก่เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการแรงไฟฟ้าคงที่ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็นต้น
- ถอดปลั๊กตู้เย็น – ถอดปลั๊กตู้เย็นทันทีและปิดให้สนิท เพื่อรักษาความเย็นให้มากที่สุด เว้นแต่ถ้าเป็นตู้เย็นประตูเดียว สามารถนำอาหารออกมาป้องกันไม่ให้อาหารเน่าเสียจากการที่น้ำแข็งละลาย
- ประหยัดพลังงาน – ควรเซฟแบตโทรศัพท์ไว้เพื่อติดต่อเผื่อมีเหตุจำเป็น โดยเปลี่ยนเป็นโหมดพลังงาน เคลียร์แอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็น
- เปิดหน้าต่างระบายอากาศ – เมื่อพัดลมและเครื่องปรับอากาศไม่สามารถใช้งานได้ ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท
- เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น – เช่น ไฟฉาย เทียน หรือไฟแช็ก ให้กับบริเวณที่จำเป็นต้องมีแสงสว่าง
- แจ้งเจ้าหน้าที่ – ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อแจ้งปัญหา และรอรับการแก้ไขได้ที่การไฟฟ้านครหลวง โทร 1130 และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โทร 1129
- ติดตั้งเครื่อง UPS – ติดตั้งเครื่องสำรองไฟ UPS เพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ไม่คาดคิดอย่างไฟดับ ลดการเกิดอันตรายแก่เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
4. ปัญหาไฟตก
ปัญหาไฟตกเกิดจากอะไรได้บ้าง? ปัญหาไฟตกเกิดจากการที่กระแสไฟฟ้าค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัญหาที่พบบ่อยครั้งในบ้านและออฟฟิศ หากเกิดขณะที่เครื่องใช้ไฟฟ้ากำลังทำงานอยู่ ปัญหาไฟตกจะทำให้จ่ายกระแสไฟได้ไม่เต็มที่ เกิดอาการติดๆ ดับๆ เกิดความเสียหายแก่เครื่องเครื่องใช้ไฟฟ้า
สาเหตุของไฟตก
ต้นตอของสาเหตุของไฟตก มีตั้งแต่สาเหตุใกล้ตัวไปจนถึงสาเหตุไกลตัว จึงควรทราบสาเหตุเพื่อรับมือได้อย่างถูกวิธี
- ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าพร้อมกัน – การใช้งานพร้อมกันอาจทำให้แต่ละเครื่องได้รับไฟฟ้าไม่เต็มที่ เพราะใช้กระแสไฟฟ้าสูงเกินกำลัง
- ปลั๊กไม่ได้มาตรฐาน – ปลั๊กไฟที่ไม่ได้มาตรฐานเป็นอีกสาเหตุของการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร
- การกระชากของกระแสไฟฟ้า – เกิดจากอุปกรณ์บางชนิดกินกำลังไฟอัตราสูงเกินไปจนเกิดการกระชากไฟ ซึ่งต่างจากการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าพร้อมกัน
- ตัวนำกระแสไฟฟ้าขัดข้อง – ไฟช็อตจากตัวกลางในการจ่ายกระแสไฟฟ้าภายในบ้าน ควรติดต่อช่างไฟมาแก้ไขโดยด่วน
- กระแสไฟฟ้ารั่วลงดิน – สายดินที่เสื่อมอายุ ทำให้แรงดันไฟที่ส่งไฟยังบ้านเรือนตก
- ละแวกบ้านใช้ไฟฟ้าเยอะไป – ต้นทางไฟฟ้าเกิดจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ไม่เพียงพอ
- ระยะห่างจากแหล่งจ่ายพลังงาน – หากแหล่งจ่ายพลังงานอยู่ไกล สามารถทำให้แรงดันไฟฟ้าตกได้เช่นเดียวกัน
- สภาพอากาศ – สภาพแปรปรวนในช่วงหน้าฝน ฟ้าร้อง ฟ้าคะนองอาจรบกวนการทำงานของกระแสไฟได้
ผลเสียของไฟตกที่ส่งผลต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า
ผลเสียของไฟตกอาจรุนแรงกว่าที่คาดคิด การที่เครื่องไฟฟ้าหยุดทำงานจากกระแสไฟฟ้าที่ไม่สม่ำเสมอ อาจทำให้อุปกรณ์ที่มีความละเอียดอ่อนภายในได้รับความเสียหาย ร่นอายุการใช้งาน อีกทั้งอาจเสื่อมสภาพก่อนกำหนด หากไฟตกบ่อยอยู่บ่อยครั้ง อาจทำให้ไฟฟ้าลัดวงจรและเครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานขัดข้องเป็นจุดกำเนิดของสาเหตุไฟไหม้อีกด้วย
แนวทางและวิธีแก้ไขเมื่อไฟตก
ควรตั้งสติเป็นอย่างแรกเมื่อไฟตก จากนั้นจึงหาวิธีแก้ไขที่เหมาะกับสาเหตุต่างๆ ดังนี้
- ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟสูง – เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์
- เลือกอุปกรณ์จ่ายไฟฟ้าที่เหมาะสม – เลี่ยงไปใช้อุปกรณ์ที่จ่ายไฟต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแย่งไฟกัน
- ไม่ใช้สายไฟชำรุด – ตรวจสอบสภาพการใช้งานของสายไฟ หากพบว่าชำรุดควรแจ้งช่างให้ดำเนินการเปลี่ยนใหม่
- ถอดปลั๊กเมื่อไม่ใช้ – ลดความเสียหายจากกระแสไฟฟ้าไหลกลับ
- เลือกปลั๊กพ่วงที่มีมาตรฐาน – เลือกปลั๊กพ่วงที่มีคุณภาพ เลือกสายไฟและเต้ารับที่มีเครื่องหมาย มอก. หรือมาตรฐานของ IEC และมีระบบตัดไฟอัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ หรือไฟกระชาก
- หมั่นตรวจระบบและอุปกรณ์ไฟฟ้า – เช็กอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ ว่าทำงานปกติหรือไม่
- ติดตั้งเครื่อง Stabilizer – ติดตั้งเครื่อง Stabilizer ทำหน้าปรับแรงดันให้คงที่ สามารถใช้เครื่องไฟฟ้าต่อได้ไม่สะดุดกังวลใจ ป้องกันอันตรายต่อชีวิต เครื่องใช้ไฟฟ้าและทรัพย์สินภายในบ้าน โดยไม่ต้องควบคุมเครื่องขณะใช้งาน
5. ปัญหาไฟเกิน
ปัญหาไฟเกิน เกิดจากสภาวะของกระแสไฟมากผิดปกติเกินควบคุมได้ โดยแรงดันไฟฟ้าไหลผ่านตัวนำเกิน 220v ในระยะเวลาสั้นๆ กระแสเกินพิกัด แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ โหลดเกิน และ การเกิดการลัดวงจรหรือที่เรียกว่าไฟช็อต ก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นำไปสู่ภยันตรายอย่างไฟไหม้
สาเหตุของไฟเกิน
สาเหตุของไฟเกินส่วนใหญ่แล้ว มักมาจากการใช้กระแสไฟฟ้ามาเกินไป หรือสาเหตุจากไฟฟ้าลัดวงจร
- การโอเวอร์โหลดของวงจร – อาจเกิดจากมอร์เตอร์กินไฟมาก แรงดันไฟฟ้าส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่ในมอเตอร์ จะไหลกลับเข้าระบบไฟฟ้าทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าสูงเกินชั่วขณะ
- การลัดวงจร – มีความต้านทานตามเส้นทางลัดวงจรต่ำกว่าเส้นทางปกติของวงจร ทำให้กระแสไหลมาก ส่งผลให้ลวดร้อนเกินไป
- ความผิดพลาดของอาร์ค – ความผิดปกติที่ไม่สามารถตรวจจับการคายประจุไฟฟ้าได้ทำให้เกิดความร้อนฉับพลัน
- การเชื่อมต่อไม่ดี – สายไฟหลวม หรืออุปกรณ์อื่นๆ อย่างเต้ารับชำรุด การติดตั้งไม่ถูกต้องหรือการฉีกขาดของฉนวนลวด ทำให้เกิดช่องโหว่ให้กระแสไฟออกมา
ผลเสียของไฟเกินที่ส่งผลต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า
แม้ว่าไฟเกินอาจฟังดูว่าส่งผลอันตรายต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าสาเหตุอื่น แต่จริงๆ แล้วปัญหาไฟเกินอาจทำให้เกิดปัญหาไฟฟ้าในบ้านที่อันตรายต่อทรัพย์สินและคนอยู่อาศัย ที่สาเหตุมาจากความร้อนหรือไฟฟ้ารั่วออก
แนวทางและวิธีแก้ไขเมื่อไฟเกิน
เมื่อไฟเกินควรแบ่งวงจรแยกสำหรับแต่ละห้องในบ้าน แนวทางในการแก้ไขปัญหาไฟเกิน ได้แก่
- คำนวณโหลดวงจร – ตรวจสอบแหล่งพลังงานว่าเหมาะกับที่จะจ่ายไฟใช้งานเครื่องนั้นๆ โดยไม่เกิดการลัดวงจรหรือไม่
- ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่อย่างระมัดระวัง – แยกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้งานหนัก เช่น เครื่องอบผ้าหรือเตาอบที่ต้องใช้สายแยกเฉพาะ
- ให้ไฟ LED เป็นสิ่งสำคัญ – ใช้พลังงานน้อยกว่าหลอดไฟทั่วไปอย่างมาก ช่วยประหยัดเงินค่าไฟฟ้าและลดแรงดันในการเดินสายไฟเพื่อหลีกเลี่ยงกระแสไฟเกิน
- ใช้อุปกรณ์ป้องกัน – บำรุงรักษาเบรกเกอร์เป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าเบรกเกอร์ทำงานอย่างถูกต้อง ตรวจกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติ
6. ปัญหาไฟกระชาก
ไฟกระชาก คือการที่มีแรงดันไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เนื่องจากแรงดันไฟฟ้านั้นไม่เสถียรขาดๆ เกินๆ จาก 220V ในช่วงเวลาหนึ่งอย่างรวดเร็ว เครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพจึงเกิดการหยุดชะงักลง หากไม่ทำการแก้ไขอาจเกิดปัญหาวงจรไฟฟ้ารุนแรงตามมาได้
สาเหตุของไฟกระชาก
ไฟกระชากเป็นปัญหาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับไฟตก โดยเกิดจากหลายปัจจัยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างฟ้าผ่าที่ส่งผลกระทบต่อระบบไฟฟ้า หรือปัญหาจากการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงการชำรุดของสายไฟที่ทำให้เกิดการสูญเสียแรงดัน นอกจากนี้ สัญญาณรบกวนในระบบไฟฟ้าและการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีอัตราการกินไฟสูงพร้อมกันหลายเครื่อง ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟกระชากได้ทั้งสิ้น ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังอาจสร้างความเสียหายต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าในระยะยาวได้อีกด้วย
ผลเสียของไฟกระชากที่ส่งผลต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า
ปัญหาไฟฟ้าจากไฟกระชากนับเป็นภัยเงียบที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ามูลค่าสูง โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานยุคปัจจุบัน เมื่อเกิดไฟกระชาก อุปกรณ์จ่ายไฟหรือ Power Supply Unit (PSU) จะทำงานผิดปกติ ส่งผลให้หน้าจอดับกะทันหัน ข้อมูลสำคัญสูญหายโดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่องานและธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่
นอกจากนี้ ไฟกระชากยังเร่งให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เสื่อมประสิทธิภาพเร็วกว่าปกติ ทำให้อายุการใช้งานสั้นลงและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ก่อนเวลาอันควร
แนวทางและวิธีแก้ไขเมื่อไฟกระชาก
เพื่อรับมือกับไฟกระชาก ควรมีระบบกันไฟกระชาก (Surge Protector) หรือเครื่องสำรองไฟ (UPS) ติดบ้านหรือออฟฟิศไว้ โดยรับพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) และแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ซึ่งเก็บไว้ในแบตเตอรี่สำรอง พลังงานที่เก็บไว้นี้สามารถใช้เพื่อจ่ายพลังงานไฟฟ้าที่สม่ำเสมอและปลอดภัยให้กับคอมพิวเตอร์ ในกรณีที่ไฟฟ้าดับหรือมีความผันผวน UPS ช่วยให้มั่นใจได้ถึงแหล่งพลังงานที่เชื่อถือได้สำหรับคอมพิวเตอร์ ซึ่งช่วยป้องกันการหยุดชะงักหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
การติดตั้งเบรกเกอร์ระบบกันไฟกระชาก (Surge Protector) หรือเครื่องสำรองไฟ (UPS) ภายในบ้านหรือสำนักงานเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับปัญหาไฟกระชาก อุปกรณ์เหล่านี้ทำงานโดยรับพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) และแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) เพื่อเก็บไว้ในแบตเตอรี่สำรอง สำหรับใช้จ่ายพลังงานที่สม่ำเสมอและปลอดภัยให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของกระแสไฟฟ้า
7. ปัญหาสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้า
สัญญาณรบกวนที่มีความถี่สูงเป็นภัยคุกคามต่อการทำงานของวงจรควบคุม โดยสามารถส่งผลให้วงจรหยุดชะงักได้ในหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นแบบชั่วคราว แบบไม่ต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งความเสียหายถาวร ปัญหานี้แบ่งออกเป็นสองประเภทหลักที่ต้องระวัง ได้แก่ การรบกวนทางกายภาพหรือที่เรียกว่าการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ซึ่งเกิดจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่ใกล้เคียง และการรบกวนด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (RFI) ที่แพร่กระจายมาจากอุปกรณ์สื่อสารหรือเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ
สาเหตุของสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้า
สาเหตุส่วนใหญ่ของการเกิดปัญหาสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้ามาจากปัจจัยภายนอกทั้งภัยธรรมชาติและการกระทำของมนุษย์ ในด้านธรรมชาติ สัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าเกิดจากปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ สนามแม่เหล็กโลก รวมถึงพายุต่างๆ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อความเสถียรของกระแสไฟฟ้า ในขณะเดียวกัน สัญญาณรบกวนไฟฟ้ายังเกิดจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์ไร้สาย โทรศัพท์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ สามารถทำให้เกิดการรบกวนและส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบอิเล็กทรอนิกส์โดยรวม ทำให้เกิดความไม่เสถียรของกระแสไฟฟ้าและนำไปสู่ปัญหาไฟกระชากที่สร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าได้
สัญญาณรบกวนไฟฟ้าที่เกิดจากธรรมชาติ
สัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าสามารถเกิดจากธรรมชาติอย่าง ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ และสนามแม่เหล็กของโลก รวมทั้งพายุต่างๆ
สัญญาณรบกวนไฟฟ้าที่เกิดจากสิ่งที่มนุษย์สร้าง
อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น มอร์เตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์ไร้สาย โทรศัพท์เหล่านี้ สามารถรบกวนและส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์และระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ
ผลเสียของสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าที่ส่งผลต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า
ปัญหาไฟช็อต และปัญหาไฟฟ้าอีก 6 ประเภทนี้เป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน และการรู้สาเหตุที่แท้จริงรวมถึงวิธีแก้ไขและป้องกันจะทำให้เรามั่นใจได้ว่าสามารถรับมือและลดความเสี่ยงต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่ตรวจสอบแล้วพบว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือวงจรภายในบ้าน อาจเป็นปัญหาจากระบบไฟฟ้าในเขตพื้นที่ของคุณ ซึ่งควรติดต่อโรงไฟฟ้าหรือหน่วยงานที่ดูแลไฟฟ้าในบริเวณใกล้เคียงเพื่อรายงานปัญหาและขอความช่วยเหลือในการแก้ไข
โดยทั่วไปแล้ว หากประสบปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า คุณสามารถติดต่อศูนย์บริการลูกค้าของบริษัทผู้ให้บริการไฟฟ้าในพื้นที่ของคุณได้โดยตรง เพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องและปลอดภัย
แต่เรื่องสำคัญคือ ไม่ว่าจะคุณจะอาศัยยอยู่บ้านหรือที่ออฟฟิศ ก็ควรจะมีเครื่องสำรองไฟติดไว้ เพื่อป้องกันผลเสียจากปัญหาไฟช็อต แรงดันไฟตก หรือกระแสไฟตก ที่มีส่วนทำให้การใช้ไฟฟ้าติดขัด ซึ่งอาจทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือถึงขั้นที่ต้องซื้อใหม่ ดังนั้น การป้องกันจึงดีกว่าการแก้ไขอย่างแน่นอน
แนวทางและวิธีแก้ไขเมื่อมีสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้า
การหลีกเลี่ยงสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าทำได้แต่ยาก แต่สามารถลดการเกิดด้วยวิธีแก้ ดังนี้
- ติดตั้งระบบกราวด์ให้ดี – เป็นขั้นตอนแรกที่ป้องกันปัญหาสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้า สายดินที่ติดตั้งอย่างเหมาะสม
- ไม่วางอุปกรณ์สร้างสัญญาณสูงใกล้กัน – เลือกตำแหน่งวางอุปกรณ์ปกรณ์บางชนิดที่มักสร้างสัญญาณรบกวนสูง เช่น หม้อแปลง ห่างกันเพื่อไม่ให้เกิดการรบกวน
- ลดความถี่ของความถี่พาหะ – หมายถึงการลดความถี่ที่สัญญาณรบกวนถูกส่งเพื่อสร้างสัญญาณสำหรับหน่วยปรับความกว้างพัลส์ (PWM) ในการจ่ายกำลังมอเตอร์ จำนวนยูนิต PWM ที่ใช้อาจส่งผลต่อการรบกวน
- ใช้อุปกรณ์ป้องกันการเกิดสัญญาณ – ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันสัญญาณรบกวนโดยเฉพาะ เพื่อกรองสัญญาณแปลกปลอมออก และป้องกันการรั่วไหลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
ปัญหาไฟฟ้าทั้ง 5 อย่างนี้พบเจอได้ทั่วไป หากเรารู้สาเหตุที่แท้จริงและวิธีปัองกันแล้ว เมื่อเจอปัญหาก็มั่นใจได้เลยว่าเราจะสามารถรับมือและลดความเสี่ยงต่ออุปกรณ์จากปัญหาไฟฟ้าน้อยลง หากปัญหาไม่ได้เกิดจากเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือวงจรไฟฟ้าภายในบ้าน อาจมีปัญหาด้านฝ่ายไฟฟ้าเขตพื้นที่ ให้ติดต่อโรงไฟฟ้าใกล้บ้านของคุณ เพื่อทำการรายงานปัญหาไฟฟ้าและร้องขอให้ช่วยแก้ไข โดยทั่วไปแล้ว หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับไฟฟ้า สามารถติดต่อศูนย์บริการลูกค้า ของบริษัทผู้ให้บริการไฟฟ้าในพื้นที่ของคุณได้ เพื่อขอความช่วยเหลือ
ทั้งนี้ที่บ้านหรือที่ออฟฟิศควรจะมีเครื่องสำรองไฟ ป้องกันผลเสียจากปัญหาไฟฟ้าที่จะตามมา อาจทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือถึงขั้นที่ต้องซื้อใหม่ ดังนั้นการป้องกันจึงดีกว่าการแก้ไขอย่างแน่นอน