fbpx

เช็กเลย! อาการไฟรั่วในบ้าน พร้อมวิธีแก้ไขและป้องกัน ก่อนเกิดอันตราย

  • Home
  • เกร็ดความรู้
  • เช็กเลย! อาการไฟรั่วในบ้าน พร้อมวิธีแก้ไขและป้องกัน ก่อนเกิดอันตราย
เช็กเลย! อาการไฟรั่วในบ้าน พร้อมวิธีแก้ไขและป้องกัน ก่อนเกิดอันตราย

เช็กเลย! อาการไฟรั่วในบ้าน พร้อมวิธีแก้ไขและป้องกัน ก่อนเกิดอันตราย

Key Takeaway
อาการไฟรั่วในบ้านถือว่าอันตรายมาก เพราะอาจทำให้เกิดไฟดูดหรือไฟไหม้ได้ สาเหตุหลักมาจาก สายไฟชำรุด ฉนวนเสื่อม เครื่องใช้ไฟฟ้ามีปัญหา หรือระบบไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยในบ้าน
สัญญาณเตือนของไฟรั่ว เช่น รู้สึกช็อตหรือจี๊ดเมื่อสัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้า ไฟกะพริบหรือหรี่ผิดปกติ สวิตช์หรือปลั๊กร้อน และเบรกเกอร์ตัดบ่อยไม่ทราบสาเหตุ หากพบสัญญาณนี้ควรตรวจสอบทันที
อุปกรณ์ที่ควรติดตั้งเพื่อเพิ่มความปลอดภัยจากไฟรั่ว ได้แก่ เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD/ELCB) ซึ่งจะตัดกระแสไฟอัตโนมัติเมื่อเกิดไฟรั่ว เบรกเกอร์กันดูด (RCBO) ที่รวมระบบป้องกันไฟรั่วและไฟเกินในตัวเดียว และระบบสายดินที่ช่วยระบายกระแสไฟฟ้ารั่วอย่างปลอดภัย รวมทั้งการเลือกปลั๊กไฟคุณภาพ

รู้ไหมว่าไฟรั่ว ไฟดูด ไฟช็อตภายในบ้านไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย และเกิดได้กับทุกบ้านโดยไม่รู้ตัว! อาการเบื้องต้นบางอย่างอาจดูเล็กน้อย เช่น ไฟกะพริบ ปลั๊กมีเสียงซ่า หรือรู้สึกเหมือนไฟดูดเบาๆ เมื่อสัมผัสอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่ถ้าละเลยอาจนำไปสู่เหตุร้ายแรงอย่างไฟช็อตหรือไฟไหม้ได้ บทความนี้จะพาไปรู้จักวิธีสังเกตอาการไฟรั่วในบ้าน พร้อมแนวทางแก้ไขเบื้องต้นและป้องกันอย่างถูกวิธี เพื่อให้คุณและคนในบ้านใช้ไฟได้ปลอดภัยในทุกๆ วัน!

ไฟรั่วเกิดจากอะไร?

ไฟรั่วเกิดจากอะไร?

ไฟรั่วเกิดจากหลายสาเหตุ เสี่ยงทำให้ไฟดูดหรือไฟช็อตถ้าไม่ตรวจสอบและแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ ไปดูกันว่าสาเหตุของปัญหาอาการไฟรั่วในบ้านมีอะไรบ้าง

  1. สายไฟชำรุดหรือฉนวนหุ้มเสื่อมสภาพ เมื่อสายไฟเก่าหรือถูกหนูกัดจนฉนวนหุ้มขาด อาจทำให้กระแสไฟฟ้ารั่วออกมาสู่ตัวอาคารหรืออุปกรณ์โลหะได้
  2. เครื่องใช้ไฟฟ้ามีปัญหาภายใน อุปกรณ์ที่ใช้งานมานานหรือมีการเสื่อมสภาพของวงจร เช่น หม้อหุงข้าว ตู้เย็น หรือเครื่องซักผ้า อาจทำให้กระแสไฟฟ้ารั่วออกจากตัวเครื่องได้
  3. การติดตั้งระบบไฟไม่ถูกต้องหรือไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ต่อสายผิดและเกิดไฟรั่วได้ง่าย
  4. ความชื้นหรือฝนรั่วเข้าสู่จุดต่อไฟฟ้า เมื่อจุดต่อไฟฟ้าโดนน้ำหรืออยู่ในที่อับชื้น จะทำให้กระแสไฟฟ้าไหลออกนอกเส้นทาง เกิดไฟรั่วและไฟดูดได้
  5. ไม่มีสายดินหรือระบบตัดไฟอัตโนมัติ (RCD/ELCB) บ้านที่ไม่มีระบบสายดินหรืออุปกรณ์ตัดไฟอัตโนมัติจะไม่มีการตัดวงจรเมื่อไฟรั่ว ทำให้เสี่ยงเกิดไฟดูดหรือไฟไหม้

อันตรายจากไฟรั่วมีอะไรบ้าง

อันตรายจากไฟรั่วเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลออกจากระบบปกติ อาจสร้างความเสียหายทั้งต่อคนและทรัพย์สิน หากไม่ตรวจสอบหรือแก้ไขให้ทันท่วงที ผลที่ตามมาอาจรุนแรงเกินคาด

  1. ไฟดูด เกิดจากการสัมผัสอุปกรณ์หรือส่วนที่มีกระแสไฟรั่ว อาจทำให้บาดเจ็บ กล้ามเนื้อเกร็ง หมดสติ หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้
  2. ไฟไหม้ กระแสไฟที่รั่วอาจก่อให้เกิดความร้อนสะสมจนลุกเป็นไฟ โดยเฉพาะหากอยู่ใกล้วัสดุติดไฟง่าย เช่น ไม้หรือพลาสติก
  3. อุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหาย ไฟรั่วสามารถทำให้วงจรภายในเครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุด เสื่อมสภาพเร็ว หรือทำให้เครื่องพังถาวรได้
6 สัญญาณเตือน อาการไฟรั่วในบ้าน

6 สัญญาณเตือน อาการไฟรั่วในบ้าน

หากภายในบ้านเริ่มมีอาการผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า อย่ามองข้ามเด็ดขาด เพราะนั่นอาจเป็น “สัญญาณเตือนภัย” ของไฟรั่วที่กำลังเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว การสังเกตอาการตั้งแต่ระยะแรกจะช่วยป้องกันอันตรายจากไฟดูด ไฟช็อต หรือไฟไหม้ได้ทันเวลา เช็กเลย 6 สัญญาณเตือนอาการไฟรั่วในบ้านที่ควรรู้ไว้!

1. รู้สึกช็อตหรือจี๊ดเบาๆ เมื่อสัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้า

หากแตะเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ตู้เย็น พัดลม เครื่องซักผ้า หรือไมโครเวฟ แล้วรู้สึกเหมือนถูกไฟดูดเบาๆ หรือรู้สึกจี๊ดตามผิวหนัง แสดงว่ากระแสไฟฟ้ารั่วออกมาที่ตัวเครื่อง อาการนี้อาจเกิดจากฉนวนสายไฟภายในเสื่อม หรือวงจรกระแสไฟภายในอุปกรณ์รั่ว ควรหยุดใช้งานทันที ถอดปลั๊กออก และให้ช่างไฟตรวจสอบด่วน เพราะหากปล่อยไว้ อาจเกิดไฟดูดรุนแรงหรือไฟช็อตได้

2. เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานผิดปกติหรือมีกลิ่นไหม้

หากอุปกรณ์ไฟฟ้าเริ่มทำงานช้าลง ติดๆ ดับๆ หรือมีเสียงแปลกๆ พร้อมกลิ่นไหม้ออกมา ภายในเครื่องอาจเกิดการลัดวงจรหรือไฟรั่วที่กำลังสะสมความร้อนอยู่ภายใน การใช้งานต่ออาจทำให้เกิดประกายไฟหรือไฟไหม้ได้ ควรถอดปลั๊กทันที ไม่ควรพยายามซ่อมเอง และควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบก่อนใช้งานต่อ

3. สวิตช์ไฟหรือปลั๊กไฟร้อนผิดปกติ

สวิตช์หรือปลั๊กไฟที่ร้อนจนสัมผัสได้ แม้จะไม่ได้ใช้งานนาน ถือเป็นสัญญาณการไหลของกระแสไฟที่ไม่ปกติ อาจเกิดจากไฟรั่ว ต่อสายไม่แน่น หรือใช้ปลั๊กไม่ได้มาตรฐาน หากปล่อยไว้อาจทำให้ฉนวนละลายจนเกิดไฟช็อตหรือไฟไหม้ ควรรีบปิดสวิตช์และติดต่อช่างไฟมาตรวจสอบทันที

4. ไฟกะพริบหรือไฟหรี่ผิดปกติ

หากหลอดไฟในบ้านกะพริบหรือหรี่แสงลงโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเกิดจากไฟรั่วบางส่วนในวงจรหรือขั้วไฟหลวม ปัญหานี้นอกจากทำให้เปลืองไฟแล้ว ยังเป็นสัญญาณว่าระบบไฟฟ้าไม่สมบูรณ์และเสี่ยงต่อการลัดวงจรได้

5. เบรกเกอร์ตัดไฟบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ

หากเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) ตัดไฟอยู่บ่อยๆ หรือไฟดับเบรกเกอร์ตัดโดยไม่ได้เปิดใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าหนัก เช่น เตาอบหรือเครื่องปรับอากาศ อาจเป็นเพราะระบบไฟมีไฟรั่วหรือมีการลัดวงจรเล็กๆ ภายในวงจร ซึ่งเบรกเกอร์จะทำหน้าที่ตัดไฟเพื่อป้องกันอันตราย หากเกิดขึ้นบ่อย ควรให้ช่างไฟมาเช็ก เพราะอาจมีสายไฟชำรุดหรือระบบสายดินทำงานไม่สมบูรณ์

6. มีเสียง “ซ่า” หรือ “เป๊าะแป๊ะ” จากปลั๊กหรือสวิตช์ไฟ

เสียงซ่าหรือเป๊าะแป๊ะที่ได้ยินจากปลั๊กไฟหรือสวิตช์ไฟ อาจเกิดจากการสัมผัสกันของขั้วไฟที่ไม่แน่น หรือมีไฟรั่วภายในจุดต่อ เสี่ยงเกิดประกายไฟและไฟไหม้ง่าย ควรตัดไฟทันที ห้ามใช้งานปลั๊กหรือสวิตช์นั้นต่อ และเรียกช่างไฟมาซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่

อย่าลืมว่าอาการไฟรั่วในบ้านเป็นภัยเงียบที่อาจไม่แสดงอาการชัดเจนทันที หากละเลยอาจนำไปสู่ความเสียหายใหญ่ได้ การตรวจเช็กระบบไฟฟ้าในบ้านเป็นประจำ และติดตั้งอุปกรณ์ป้องกัน เช่น เบรกเกอร์ RCD หรือ ELCB จะช่วยลดความเสี่ยงจากไฟรั่วได้มาก

5 วิธีเช็กไฟรั่วในบ้าน

5 วิธีเช็กไฟรั่วในบ้าน

การตรวจเช็กไฟรั่วในบ้านเป็นเรื่องที่เจ้าของบ้านควรทำเป็นประจำ เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟดูด ไฟช็อต หรือไฟไหม้ โดยเฉพาะในบ้านที่ใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าหนักหรือมีอายุการใช้งานระบบไฟมานาน ไปดูวิธีเช็กไฟรั่วในบ้านเบื้องต้น ที่ทำได้เองหรือใช้ตรวจสอบร่วมกับช่างไฟฟ้ามืออาชีพ

  1. ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชิ้นในบ้าน แล้วดูมิเตอร์ไฟ หากเข็มหมุนหรือไฟดิจิทัลยังแสดงการใช้ไฟอยู่ แสดงว่ามีไฟรั่วในระบบ ควรตรวจหาต้นเหตุทันที
  2. ตรวจเช็กด้วย “ไขควงวัดไฟ” ใช้ไขควงวัดไฟแตะที่เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโครงโลหะ เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หรือโครงเหล็ก หากไฟขึ้นที่ไขควงแสดงว่ามีกระแสไฟรั่วออกมาที่ตัวเครื่อง
  3. ใช้เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD/ELCB) ติดตั้งอุปกรณ์ตัดไฟรั่วตัดกระแสไฟอัตโนมัติเมื่อพบความผิดปกติ ช่วยป้องกันไฟดูดและไฟไหม้ได้ ถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยในการตรวจจับและป้องกันไฟรั่ว\
  4. ปิดเบรกเกอร์แยกเป็นจุดเพื่อตรวจหาวงจรที่มีปัญหา เช่น ห้องครัว ห้องนอน หรือชั้นต่างๆ แล้วสังเกตมิเตอร์ไฟอีกครั้ง หากเข็มหยุดหมุนเมื่อปิดเบรกเกอร์บางจุด แสดงว่าจุดนั้นอาจมีไฟรั่ว
  5. เรียกช่างไฟฟ้ามืออาชีพตรวจปีละครั้ง แม้ไม่มีอาการผิดปกติ ก็ควรให้ช่างไฟตรวจเช็กระบบไฟฟ้าภายในบ้านอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อดูสภาพสายไฟ จุดต่อ และอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ว่ายังอยู่ในสภาพดีและปลอดภัยต่อการใช้งาน

วิธีแก้ไขไฟรั่วในบ้านเบื้องต้นด้วยตัวเอง

  1. ตัดกระแสไฟทันที เมื่อพบอาการผิดปกติ เช่น ไฟดูด เครื่องใช้ไฟฟ้ามีกลิ่นไหม้ หรือได้ยินเสียง “ซ่า” จากปลั๊ก ให้รีบปิดเบรกเกอร์หลักของบ้านทันที เพื่อหยุดการจ่ายไฟฟ้าทั้งระบบ ห้ามสัมผัสอุปกรณ์ใดๆ จนกว่าจะมั่นใจว่าปลอดภัย
  2. ตรวจเช็กอุปกรณ์ไฟฟ้า ตรวจดูเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชิ้นว่ามีคราบไหม้ กลิ่นไหม้ เสียงแปลก หรือรอยละลายที่ปลั๊กและสายไฟหรือไม่ หากพบอาการเหล่านี้ ให้หยุดใช้งานทันทีและแยกอุปกรณ์นั้นออกจากระบบ
  3. แยกปลั๊กหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีปัญหาออก ถอดปลั๊กอุปกรณ์ที่สงสัยว่าเป็นต้นเหตุของไฟรั่วออกจากเต้าเสียบ แล้วค่อยเปิดเบรกเกอร์กลับมาเพื่อทดสอบว่าไฟฟ้ากลับมาทำงานปกติหรือไม่ วิธีนี้ช่วยหาต้นตอของปัญหาได้ แต่ควรทำอย่างระมัดระวังและอย่าถอดปลั๊กขณะยังมีไฟ
  4. ตรวจสายไฟและปลั๊กเบื้องต้น ตรวจดูสายไฟและปลั๊กในจุดที่ใช้งานบ่อย เช่น ห้องครัวหรือห้องนั่งเล่น หากพบรอยถลอก ฉนวนแตก หรือรอยไหม้ ควรหยุดใช้งานและเปลี่ยนใหม่ทันที ห้ามใช้เทปพันสายไฟซ่อมชั่วคราว เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงไฟรั่ว
  5. ติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว (RCD หรือ ELCB) หากบ้านยังไม่มีเครื่องตัดไฟรั่ว ควรติดตั้งโดยช่างมืออาชีพ เพราะอุปกรณ์นี้จะตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติภายในเสี้ยววินาทีเมื่อพบไฟรั่ว ช่วยป้องกันไฟดูดและไฟไหม้ได้ดี
  6. เรียกช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตตรวจสอบระบบ หากไฟยังรั่วหรือไม่มั่นใจสาเหตุ ควรเรียกช่างไฟที่มีใบอนุญาตจากการไฟฟ้าหรือกรมพัฒนาฝีมือแรงงานมาตรวจสอบระบบอย่างละเอียด


แนะนำเรียกช่างทันทีเมื่อมีไฟดูดแรง เบรกเกอร์ตัดบ่อย ได้กลิ่นไหม้ หรือมีประกายไฟจากปลั๊ก วิธีเลือกช่างที่เชื่อถือได้คือให้ตรวจสอบบัตรช่างและเลือกคนที่มีประสบการณ์ด้านระบบไฟในอาคาร และตรวจสอบหลังซ่อม โดยให้ช่างทดสอบระบบด้วยเครื่องตรวจไฟรั่ว และแนะนำวิธีป้องกันเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจว่าระบบไฟในบ้านปลอดภัยก่อนใช้งาน

เทคนิคป้องกันไฟรั่วในบ้าน

เทคนิคป้องกันไฟรั่วในบ้าน

การดูแลและป้องกันอย่างถูกวิธีจะช่วยให้บ้านปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานระบบไฟฟ้าได้นานขึ้น มาดูเทคนิคป้องกันไฟรั่วในบ้าน ทำได้ง่ายแต่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้มาก

  1. ติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว (RCD หรือ ELCB) อุปกรณ์ที่ช่วยตัดกระแสไฟอัตโนมัติภายในเสี้ยววินาทีเมื่อเกิดไฟรั่ว ป้องกันไฟดูดและไฟไหม้ได้
  2. ตรวจสอบระบบสายดินเป็นประจำ ระบบสายดินช่วยระบายกระแสไฟส่วนเกินออกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าและตัวอาคาร หากสายดินหลุด ขาด หรือเสื่อมสภาพ อาจทำให้ไฟรั่วสะสมจนเกิดอันตรายได้ ควรให้ช่างตรวจสอบและวัดค่าความต้านทานดินอย่างน้อยปีละครั้ง
  3. เลือกใช้สายไฟและปลั๊กคุณภาพดี ใช้สายไฟ ปลั๊ก และเต้ารับที่ได้มาตรฐาน มอก. เพื่อความปลอดภัย เลี่ยงการใช้ปลั๊กพ่วงราคาถูกหรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจเกิดความร้อนสูงจนไฟรั่วหรือไฟไหม้ได้
  4. อย่าใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ชำรุด มีสายไฟขาด ฉนวนหลุด หรือมีเสียงและกลิ่นไหม้ไม่ควรนำมาใช้งาน เพราะอาจเกิดไฟรั่วจากภายในวงจร ควรซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่ทันที เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากไฟฟ้า
  5. ปิดสวิตช์และถอดปลั๊กเมื่อไม่ใช้งาน ช่วยลดความเสี่ยงจากไฟรั่วและไฟฟ้าลัดวงจร โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าตลอดเวลา เช่น หม้อหุงข้าว เครื่องทำน้ำอุ่น หรือเตารีด
  6. ตรวจเช็กระบบไฟฟ้าทั้งบ้านอย่างน้อยปีละครั้ง ให้ช่างไฟที่มีใบอนุญาตตรวจสอบระบบไฟภายในบ้านปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจหาจุดชำรุดของสายไฟ จุดต่อ และอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ รวมถึงทดสอบการทำงานของเครื่องตัดไฟรั่ว เพื่อให้มั่นใจว่าระบบไฟฟ้าทั้งหมดปลอดภัยและพร้อมใช้งาน
สรุป

อาการไฟรั่วในบ้านเป็นปัญหาที่หลายบ้านอาจมองข้าม ทั้งที่จริงแล้วอันตรายมาก เพราะอาจทำให้เกิดไฟดูดหรือไฟไหม้ได้ การป้องกันไม่ยากเลย แค่เริ่มจากติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว ตรวจสอบสายดิน และเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพดี หากเครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุดก็ควรรีบซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่ อย่าปล่อยให้ใช้งานต่อจนเกิดอันตราย ที่สำคัญอย่าลืมถอดปลั๊กเมื่อไม่ใช้และตรวจเช็กระบบไฟฟ้ากับช่างมืออาชีพเป็นประจำทุกปี เพราะการดูแลเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยให้บ้านปลอดภัยจากไฟรั่วและอยู่ได้อุ่นใจในระยะยาว

ถ้ากำลังหาอุปกรณ์ป้องกันไฟรั่ว ไฟดูด หรือไฟช็อต สำหรับบ้านและอาคาร แนะนำอุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะ (Surge Protector) หรือปลั๊กไฟคุณภาพจาก Chuphotic พร้อมบริการให้คำปรึกษา ออกแบบ และติดตั้งระบบไฟฟ้าปลอดภัยครบวงจร โดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาต เพื่อให้บ้านและสถานประกอบการของคุณปลอดภัยจากไฟรั่วและไฟดูดในทุกสถานการณ์

FAQ — คำถามที่พบบ่อย

เพื่อช่วยให้เข้าใจในการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคามากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามพร้อมตอบข้อสงสัย ดังนี้

ไฟฟ้าตามบ้านทั่วๆ ไป เป็นระบบไฟแบบไหน?

ไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านทั่วไปในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นระบบไฟฟ้า 1 เฟส (Single Phase) แรงดันประมาณ 220 โวลต์ เพียงพอต่อการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป เช่น ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ หรือไมโครเวฟ แต่หากเป็นบ้านหลังใหญ่หรือใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ อาจใช้ระบบไฟฟ้า 3 เฟส (Three Phase) เพื่อให้จ่ายไฟได้เสถียรและเพียงพอมากขึ้น

ค่าไฟแพงผิดปกติ เกิดจากไฟรั่วหรือไม่?

ไฟรั่วทำให้ค่าไฟแพงเป็นไปได้แต่น้อยมาก และไม่ใช่สาเหตุเดียวเสมอไป สถานการณ์ที่ไฟรั่วแล้วค่าไฟพุ่ง เช่น สายไฟเก่าหรือเปลือย มีไฟรั่วลงกราวนด์ตลอด 24 ชม. เครื่องใช้ไฟฟ้าบางชิ้น เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หรือปั๊มน้ำ มีไฟรั่วจากมอเตอร์หรือฉนวนเสื่อม มีจุดต่อไฟที่หลวม ทำให้เกิดกระแสรั่วแบบต่อเนื่อง

อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันไฟรั่วในบ้านมีอะไรบ้าง?

อุปกรณ์สำคัญที่ช่วยป้องกันไฟรั่ว ได้แก่ เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD/ELCB) จะตัดกระแสไฟอัตโนมัติเมื่อเกิดไฟรั่ว เบรกเกอร์กันดูด (RCBO) ที่รวมฟังก์ชันเบรกเกอร์และตัดไฟรั่วในตัวเดียว และระบบสายดิน (Grounding System) ที่ช่วยระบายไฟฟ้าที่รั่วออกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย ควรติดตั้งโดยช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ รวมทั้งใช้ปลั๊กไฟที่มีคุณภาพก็มีส่วนช่วยป้องกันได้เช่นกัน