โซลาร์เซลล์ต้องโดนแดดกี่ชั่วโมง? พร้อมเคล็ดลับเพิ่มประสิทธิภาพ
Key Takeaway
- โซลาร์เซลล์ทำงานโดยเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้าผ่านกระบวนการโฟโตโวลตาอิก (Photovoltaic Effect) ไฟฟ้าที่ได้สามารถนำไปใช้งานทันทีหรือเก็บในแบตเตอรี่เพื่อใช้ภายหลังได้
- ปัจจัยที่มีผลต่อการรับแดดของโซลาร์เซลล์ขึ้นอยู่กับตำแหน่งภูมิศาสตร์ มุมเอียงและทิศทางการติดตั้ง สภาพอากาศ ฤดูกาล รวมถึงเงาจากสิ่งกีดขวางที่บดบังแสงแดด
- วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการรับแสงแดดของโซลาร์เซลล์ทำได้โดยการติดตั้งในมุมเอียงที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงเงาบดบัง ใช้อุปกรณ์เสริมคุณภาพดี เช่น Solar Tracking และดูแลทำความสะอาดแผงสม่ำเสมอ เพื่อให้แผงดูดซับแสงได้เต็มที่
- โซลาร์เซลล์ควรได้รับแสงแดดตรงประมาณ 4–6 ชั่วโมงต่อวัน จึงจะเพียงพอในการผลิตไฟฟ้าให้ใช้งานในบ้านหรือระบบขนาดเล็ก หากได้รับแดดมากกว่า 6 ชั่วโมง ระบบจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและเก็บพลังงานสำรองได้มากขึ้น แต่ถ้าได้น้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ผลผลิตไฟฟ้าจะลดลง
หลายคนมีคำถามว่า “โซลาร์เซลล์ต้องโดนแดดกี่ชั่วโมงถึงจะคุ้ม?” เพราะโซลาร์เซลล์ทำงานได้ดีเมื่อมีแสงแดดเต็มที่ แต่ในความเป็นจริง ปริมาณแสงแดดที่ได้รับในแต่ละวันแตกต่างกันไปตามพื้นที่ สภาพอากาศ และการติดตั้ง หากเข้าใจหลักการทำงานและรู้เคล็ดลับการเพิ่มประสิทธิภาพ ก็สามารถใช้โซลาร์เซลล์ได้อย่างคุ้มค่า ผลิตไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพ แม้ในวันที่แดดไม่แรงก็ตาม
โซลาร์เซลล์ทำงานอย่างไร?
โซลาร์เซลล์ (Solar Cell) คืออุปกรณ์ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งมักถูกนำมาใช้ในแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในบ้าน อาคาร หรืออุปกรณ์ต่างๆ
หลักการทำงานของโซลาร์เซลล์อาศัยปรากฏการณ์โฟโตโวลตาอิก (Photovoltaic Effect) คือเมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบลงบนวัสดุเซมิคอนดักเตอร์ เช่น ซิลิคอน จะเกิดการกระตุ้นให้อิเล็กตรอนภายในวัสดุเคลื่อนที่ ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าเล็กๆ ซึ่งสามารถต่อรวมหลายเซลล์เข้าด้วยกันเพื่อให้ได้แรงดันและกำลังไฟฟ้าที่เพียงพอต่อการใช้งาน โซลาร์เซลล์จึงทำหน้าที่เป็น “แปลงพลังงานแสงให้เป็นพลังงานไฟฟ้า” ที่สะอาดและยั่งยืน
โซลาร์เซลล์ต้องโดนแดดกี่ชั่วโมง?
โซลาร์เซลล์ทำงานโดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จะขึ้นอยู่กับทั้งจำนวนชั่วโมงที่ได้รับแสงแดด ความเข้มของแสง และมุมตกกระทบของดวงอาทิตย์ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือระหว่าง 9 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง ซึ่งเป็นเวลาที่แสงมีความเข้มข้นพอเหมาะโดยไม่ร้อนจัดจนเกินไป
แล้วโซลาร์เซลล์ต้องโดนแดดกี่ชั่วโมงถึงจะเพียงพอ? คำตอบคือจำนวนชั่วโมงที่โซลาร์เซลล์ต้องโดนแดดตรงเฉลี่ย 4–6 ชั่วโมงต่อวันก็เพียงพอสำหรับการผลิตไฟฟ้าใช้งานในบ้านหรือระบบขนาดเล็ก แต่หากได้รับแสงมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน ระบบจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและสะสมพลังงานได้มากขึ้น ในทางกลับกัน หากได้รับแสงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตจะลดลงและอาจไม่เพียงพอต่อการใช้งานโดยเฉพาะหากไม่มีแบตเตอรี่สำรองช่วยเก็บพลังงานไว้ใช้งานต่อเนื่อง
ปัจจัยที่มีผลต่อการรับแดดของโซลาร์เซลล์
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการที่โซลาร์เซลล์จะรับพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้เต็มที่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับทั้งธรรมชาติและการติดตั้ง ดังนี้
- ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ พื้นที่ใกล้เส้นศูนย์สูตรหรือพื้นที่ที่มีแสงแดดจัดตลอดปี จะผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า
- มุมเอียงและทิศทางการติดตั้ง แผงควรเอียงและหันไปทางทิศใต้ (ในไทย) เพื่อให้รับแดดตรงมากที่สุดตลอดวัน
- ฤดูกาล (ฤดูฝน-ฤดูร้อนต่างกัน) ฤดูร้อนแดดแรงและยาวกว่า ฤดูฝนหรือฤดูหนาวแสงอาจอ่อนลง ส่งผลต่อปริมาณไฟฟ้า
- สภาพอากาศ เช่น เมฆ ฝุ่น ควัน จะลดปริมาณแสงที่เข้าสู่แผง ทำให้การผลิตไฟฟ้าลดลง
- เงาจากสิ่งกีดขวาง อาคาร ต้นไม้ หรือวัตถุอื่นๆ ที่บดบังแสง จะทำให้โซลาร์เซลล์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
ถ้าแดดน้อยหรือมีเมฆมาก โซลาร์เซลล์ยังใช้ได้ไหม?
โซลาร์เซลล์ยังสามารถใช้งานได้แม้ในวันที่แดดน้อยหรือมีเมฆมาก แต่ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จะลดลงตามความเข้มของแสง เนื่องจากพลังงานจากแสงอาทิตย์เข้าสู่แผงน้อยกว่าในวันที่แดดจัด อย่างไรก็ตาม แผงโซลาร์เซลล์รุ่นใหม่ เช่น แบบโมโนคริสตัลไลน์ สามารถผลิตไฟฟ้าได้แม้แสงไม่แรงมาก แต่กำลังไฟจะต่ำกว่าปกติ การมีแบตเตอรี่สำรองหรือเชื่อมต่อกับไฟฟ้าหลักช่วยให้ระบบยังสามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่มีเมฆหรือฝนก็ตาม
วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการรับแสงแดดของโซลาร์เซลล์
เพื่อให้โซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพ ควรคำนึงถึงวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการรับแสงแดดดังนี้
1. ติดตั้งในมุมเอียงที่เหมาะสม
การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในมุมเอียงที่เหมาะสมกับละติจูดของพื้นที่ช่วยให้แผงรับแสงอาทิตย์โดยตรงตลอดวันและตลอดฤดูกาล การเอียงแผงมากหรือน้อยเกินไปจะทำให้บางช่วงวันแสงตกไม่ตรงบนเซลล์ ส่งผลให้กำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้ลดลง สำหรับประเทศไทย มุมเอียงที่เหมาะสมมักอยู่ระหว่าง 10–30 องศา และสามารถปรับมุมเล็กน้อยตามฤดูกาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด
2. หลีกเลี่ยงการบังเงา
เงาจากต้นไม้ อาคาร หรือสิ่งกีดขวางอื่นๆ แม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถลดประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์ได้มาก โดยเฉพาะในระบบที่ใช้แผงแบบเชื่อมต่ออนุกรม การบังเงาเพียงเซลล์เดียวอาจทำให้ทั้งแผงผลิตไฟฟ้าได้น้อยลง การวางแผงควรเลือกพื้นที่ที่ไม่มีเงามาบดบังตลอดช่วงแดดจัด
3. ใช้แบตเตอรี่สำรอง
แบตเตอรี่สำรองช่วยเก็บพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ในช่วงแดดจัดไว้ใช้ในช่วงที่แดดน้อยหรือมีเมฆ การมีแบตเตอรี่คุณภาพสูงและมีความจุเพียงพอจะทำให้ระบบยังคงจ่ายไฟฟ้าได้ต่อเนื่องและลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากโครงข่ายหลัก
4. ใช้โซลาร์แทร็กกิ้ง (Solar Tracking System)
Solar Tracking System เป็นระบบที่ปรับมุมของแผงให้หันตามทิศทางของดวงอาทิตย์ตลอดวัน ทำให้แผงรับแสงตรงมากที่สุด และเพิ่มปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้มากกว่าการติดตั้งแบบคงที่ประมาณ 15–30% ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและสภาพอากาศ
5. ดูแลรักษาและทำความสะอาดแผงสม่ำเสมอ
ฝุ่น คราบน้ำมัน ใบไม้ หรือคราบน้ำค้างบนผิวแผงสามารถลดปริมาณแสงที่เข้าสู่เซลล์ได้ถึง 20%–30% การทำความสะอาดแผงอย่างสม่ำเสมอ และตรวจสอบความเสียหายของผิวแผง จะช่วยให้โซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพตลอดอายุการใช้งาน
6. เลือกใช้แผงคุณภาพสูง
แผงคุณภาพสูง เช่น แผงโมโนคริสตัลไลน์ หรือโพลีคริสตัลไลน์เกรดดี จะมีอัตราการแปลงพลังงานสูงและทนต่อสภาพอากาศ เช่น ฝน ฝุ่น หรือความร้อนจัด ทำให้ได้กำลังไฟฟ้าสูงกว่าแผงราคาถูกต่อพื้นที่ติดตั้ง และยังมีอายุการใช้งานยาวนาน
7. เพิ่มการระบายความร้อน
อุณหภูมิสูงเกินไปส่งผลให้เซลล์โซลาร์เซลล์เสียประสิทธิภาพ (ลดประมาณ 0.4–0.5% ต่อองศาเซลเซียสที่สูงกว่า 25°C) การติดตั้งให้มีช่องว่างใต้แผงหรือใช้วัสดุช่วยระบายความร้อน เช่น Heat Sink หรือระบายอากาศรอบแผง จะช่วยลดความร้อนสะสมและทำให้ผลิตไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพ
8. เลือกใช้อุปกรณ์เสริมคุณภาพดี
อินเวอร์เตอร์ ตัวควบคุมการชาร์จ (Charge Controller) และสายไฟคุณภาพสูงช่วยลดการสูญเสียพลังงานขณะส่งไฟฟ้าไปยังแบตเตอรี่หรือโหลด การเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับกำลังของระบบจะทำให้ระบบโดยรวมมีประสิทธิภาพสูงสุดและใช้งานได้ยาวนาน
9. จัดวางแผงให้หันทิศเหมาะสมกับภูมิอากาศ
การหันแผงไปทางทิศใต้ในประเทศไทยทำให้แผงรับแสงแดดตรงมากที่สุดตลอดวัน นอกจากนี้ควรพิจารณามุมเอียงตามฤดูกาลและปริมาณแดดเฉลี่ยของพื้นที่ การจัดวางให้เหมาะสมกับภูมิอากาศช่วยให้โซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้มากที่สุดต่อปี
วิธีเลือกขนาดระบบโซลาร์เซลล์ให้เหมาะกับการใช้งาน
การเลือกขนาดระบบโซลาร์เซลล์ให้เหมาะสมกับการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้คุณได้พลังงานเพียงพอ ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า และรองรับความต้องการในอนาคต ดังนี้
- ประเมินการใช้ไฟฟ้าจริงในบ้านหรือธุรกิจ ตรวจสอบค่าไฟฟ้าเฉลี่ยต่อเดือนหรือวันของคุณ เพื่อทราบว่าต้องการพลังงานเท่าไรต่อวันและต่อปี
- คำนวณขนาดโซลาร์เซลล์ที่เหมาะสม ใช้ข้อมูลการใช้ไฟฟ้าและจำนวนชั่วโมงแดดต่อวันมาคำนวณจำนวนแผงและกำลังไฟรวมที่ต้องติดตั้ง เพื่อให้ระบบผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอ
- พิจารณาพื้นที่ติดตั้ง ตรวจสอบพื้นที่บนหลังคาหรือพื้นดินว่ามีเพียงพอสำหรับจำนวนแผงที่ต้องการหรือไม่ และควรไม่มีเงาบดบัง
- เลือกให้สอดคล้องกับงบประมาณและความคุ้มค่า ขนาดระบบควรสอดคล้องกับเงินลงทุนและระยะเวลาคืนทุน ให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดจากพลังงานที่ผลิตได้
- เผื่อการใช้งานอนาคต หากมีแผนเพิ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าในอนาคต ควรเผื่อขนาดระบบเล็กน้อยเพื่อรองรับการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องติดตั้งระบบใหม่ทั้งหมด
สรุป
โซลาร์เซลล์ทำงานโดยเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าเพื่อใช้งานภายในบ้านหรือธุรกิจ โดยโซลาร์เซลล์ต้องการแดดเฉลี่ย 4–6 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ผลิตไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ปัจจัยอื่นๆ เช่น มุมเอียงและทิศทางการติดตั้ง ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ฤดูกาล สภาพอากาศ และเงาจากสิ่งกีดขวาง ก็มีผลต่อการรับแสง การเลือกขนาดระบบให้เหมาะสมกับการใช้ไฟฟ้า พื้นที่ติดตั้ง และงบประมาณ ช่วยให้การลงทุนคุ้มค่าและรองรับการใช้งานในอนาคต ในส่วนของวิธีเพิ่มประสิทธิภาพสามารถทำได้ด้วยการติดตั้งมุมเอียงเหมาะสม หลีกเลี่ยงเงาบดบัง ใช้แบตเตอรี่สำรอง ทำความสะอาดแผงสม่ำเสมอ และเลือกแผงและอุปกรณ์คุณภาพสูง
แต่ในกรณีที่แดดน้อยหรือมีเมฆมาก การใช้เครื่องสำรองไฟฟ้า UPS เครื่องปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ (AVR) เครื่องกำเนิดไฟฟ้า หรือแบตเตอรี่ จะช่วยให้ระบบไฟฟ้ายังคงจ่ายไฟได้ต่อเนื่องโดยไม่สะดุด นอกจากนี้ การวางแผนระบบร่วมกับอุปกรณ์ฉุกเฉินและพลังงานทดแทน ทำให้สามารถรองรับการใช้งานได้ยาวนานและปลอดภัย การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและบริการครบวงจรจาก Chuphotic จะช่วยให้โซลาร์เซลล์และอุปกรณ์เสริมทำงานได้เต็มประสิทธิภาพทุกวัน และมั่นใจได้ว่าพลังงานสำรองพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น
FAQ — คำถามที่พบบ่อย
เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการทำงานของโซลาร์เซลล์มากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบ ดังนี้
ติดตั้งโซลาร์เซลล์ในหน้าฝนใช้งานได้ไหม?
สามารถใช้งานได้ แต่ประสิทธิภาพจะลดลงเพราะแสงแดดน้อย อย่างไรก็ตาม ระบบยังผลิตไฟฟ้าได้จากแสงที่ผ่านเมฆมา
ถ้าบ้านอยู่ในพื้นที่ฝนตกบ่อย ควรลงทุนโซลาร์เซลล์หรือไม่?
ยังคงคุ้มค่า หากมีการออกแบบระบบที่เหมาะสม ร่วมกับการใช้แบตเตอรี่สำรองหรือเชื่อมต่อกับไฟฟ้าหลักเพื่อรองรับวันที่แดดน้อย
ถ้าติดโซลาร์เซลล์แล้วต้องมีเครื่องสำรองไฟ UPS ไหม?
ควรมี UPS เพื่อรักษาเสถียรภาพไฟฟ้าและป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้าสำคัญในบ้านหรือธุรกิจไม่ให้ดับเมื่อไฟฟ้าขัดข้องหรือแสงแดดไม่เพียงพอ
มีเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโซลาร์เซลล์ไหม?
มี เช่น ระบบ Solar Tracking เครื่องปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ (AVR) อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชาก และการเลือกใช้แผงหรือแบตเตอรี่คุณภาพสูงจากผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ

