Prime Power และ Standby Power พลังงานสำรองเพื่อไฟต่อเนื่อง
Key Takeaway
|
ระบบพลังงาน Prime Power คืออะไร?
Prime Power (PRP) หรือพิกัดกำลังพร้อมใช้ คือพิกัดกำลังไฟฟ้าสูงสุดที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสามารถจ่ายไฟให้กับโหลดได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่จำกัดระยะเวลา แต่การใช้งานโหลดนั้นจะต้องไม่เกิน 70% ของ Prime Power Rating สูงสุดที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสามารถรองรับได้
ซึ่งมีการจ่ายไฟทั้งหมด 2 แบบ ดังนี้
- จ่ายไฟฟ้าให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำกัดระยะเวลาสำหรับการใช้งานโหลดที่ไม่คงที่ (Variable Load Applications)
- จ่ายไฟฟ้าแบบกำลังเฉลี่ย การจ่ายไฟฟ้าในระยะเวลา 24 ชั่วโมงจะต้องให้การใช้งานโหลดไม่เกิน 70% ของพิกัด PRP
Prime Power กับการป้องกันไฟดับ
การจ่ายไฟฟ้าแบบ Prime Power (PRP) มักจะนำไปใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการพลังงานไฟฟ้าต่อเนื่องในระยะยาว ดังนี้
- อาคาร เพื่อรองรับกรณีไฟฟ้าดับเป็นระยะเวลานาน
- การจ่ายไฟในช่วงที่โหลดไฟฟ้าสูง (Peak Load)
- ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าในการใช้งานในช่วงเวลาที่ต้องการพลังงานมาก
- แหล่งอุตสาหกรรม
- ไซต์งานก่อสร้างหรือเหมือง
- สถานที่ที่ไม่มีการเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าหลัก
- งานคอนเสิร์ตกลางแจ้งในพื้นที่ห่างไกล
ข้อควรระวังในการใช้งาน Prime Power
เพื่อให้ Prime Power ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน มีสิ่งที่ควรรู้และปฏิบัติ ดังนี้
- เลี่ยงการใช้งาน Prime Power Rating ที่ต่ำกว่า 50% เพราะการเผาผลาญของเครื่องยนต์จะทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดเขม่าควันในท่อไอเสีย ซึ่งทำให้เครื่องปั่นไฟทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและอาจเกิดความเสียหายได้
- หากจำเป็นต้องใช้งานที่โหลดต่ำกว่า 50% เป็นระยะเวลานาน ควรทำการโหลดเทียม (Load Bank) เพื่อทดสอบว่าเครื่องปั่นไฟสามารถทำงานได้ตามสเปกและยังคงมีประสิทธิภาพตามที่คาดหวัง
Standby Power คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญในกรณีฉุกเฉิน
Standby Power หรือ Emergency Standby Power (ESP) คือพิกัดกำลังไฟฟ้าที่ใช้ในการจ่ายไฟฟ้าเพื่อทดแทนกำลังไฟฟ้าหลักในกรณีที่ไฟฟ้าหลักดับหรือขัดข้อง จะต้องไม่เกินพิกัดสูงสุดที่กำหนด โดยการใช้งานจะต้องไม่เกิน 200 ชั่วโมงต่อปี โดยทั่วไปแล้ว พิกัดกำลังไฟฟ้าของ Standby Power จะมีค่าที่สูงกว่า Prime Power ประมาณ 10%
คุณสมบัติของ Standby Power คือ
- ใช้จ่ายไฟฟ้าในกรณีที่ไฟฟ้าหลักดับหรือขัดข้อง เพื่อให้ระบบยังคงทำงานได้
- ไม่สามารถจ่ายกำลังไฟฟ้าเกินกว่าพิกัดสูงสุดที่กำหนดได้
- ใช้ได้กับโหลดที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือลดลงอย่างไม่คงที่
- กำลังไฟฟ้าที่จ่ายในระยะ 24 ชั่วโมง (PPP) จะต้องไม่เกิน 70% ของพิกัด ESP หรืออีกนัยหนึ่งคือเฉลี่ยโหลดแฟคเตอร์ไม่เกิน 70% ของพิกัดกำลัง
- ใช้งานได้ไม่เกิน 200 ชั่วโมงต่อปี เพื่อไม่ให้เครื่องทำงานหนักเกินไป
Standby Power กับการสำรองไฟ
Standby Power มักนำไปใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการไฟฟ้าสำรองเพื่อให้การดำเนินงานไม่สะดุด เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับหรือขัดข้อง โดยสถานการณ์ที่ใช้พิกัดนี้ ได้แก่
- ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่ต้องใช้ไฟฟ้าตลอดเวลา หากไฟฟ้าขัดข้อง เครื่องจักรที่ทำงานตลอดเวลาจะหยุดทำงาน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งต่อกระบวนการผลิตและอุปกรณ์เครื่องจักร
- โรงพยาบาลต้องพึ่งพาไฟฟ้าในการทำงานของอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สำคัญ เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องปั๊มหัวใจ หรือเครื่องมือแพทย์อื่นๆ หากเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้อง เช่น ไฟตกหรือไฟดับ อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตผู้ป่วยได้
- ใช้กับอาคารเพื่อจ่ายไฟฟ้าสำรองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับหรือขัดข้อง โดยจะ Standby Power ทำหน้าที่จ่ายไฟฟ้าทดแทนในช่วงเวลาที่ระบบไฟฟ้าหลักไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งช่วยให้ระบบต่างๆ ภายในอาคารยังคงทำงานต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
Standby Power ใช้งานกับอุปกรณ์ใดได้บ้าง
หลายอุปกรณ์สามารถใช้พิกัด Standby Power นี้ได้ ดังนี้
- เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
- ระบบสำรองไฟฟ้า
- อุปกรณ์สำรองพลังงาน
- หม้อแปลงไฟฟ้า
- เครื่องพิมพ์ (Printer)
- เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า
สิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้ Standby Power
เพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของ Standby Power มีสิ่งที่ควรรู้และปฏิบัติ ดังนี้
- Standby Power เหมาะสำหรับการจ่ายไฟฟ้าสำรองในกรณีฉุกเฉินที่มีระยะเวลาไม่เกิน 1 – 12 ชั่วโมงเท่านั้น หากต้องการใช้งานในระยะยาว จำเป็นต้องใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่มีพิกัดเหมาะสมกับการใช้งานนั้นๆ
- การติดตั้ง ATS (Automatic Transfer Switch) เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อสลับการจ่ายไฟจากแหล่งพลังงานหลักไปยังเครื่องกำเนิดไฟฟ้าโดยอัตโนมัติเมื่อไฟฟ้าหลักขัดข้อง และจะสลับกลับเมื่อไฟหลักกลับมาใช้งานได้ปกติ
ความต่างระหว่าง Prime Power VS. Standby Power
Prime Power ออกแบบมาเพื่อใช้งานต่อเนื่องในระยะยาว ไม่จำกัดเวลา ใช้ในสถานที่ที่ไม่มีแหล่งจ่ายไฟฟ้าหลัก หรือจำเป็นต้องมีไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เช่น ไซต์งานก่อสร้าง เหมือง โรงงานห่างไกล เป็นต้น ส่วน Standby Power คือพิกัดกำลังที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินเมื่อไฟฟ้าหลักขัดข้อง ออกแบบมาเพื่อทำงานในช่วงสั้นๆ ใช้ในสถานที่ที่มีแหล่งจ่ายไฟฟ้าหลักอยู่แล้ว เช่น อาคารสำนักงาน โรงพยาบาล ศูนย์ข้อมูล เป็นต้น
พิกัดกำลังประเภทอื่นๆ
นอกจาก Prime Power และ Standby Power แล้ว ยังมีพิกัดกำลังอื่นๆ ที่เหมาะสมกับการใช้งานในลักษณะต่างๆ ดังนี้
- Continuous Power หรือ Base Load Power ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานต่อเนื่องในระยะยาวในสถานที่ที่ไม่มีแหล่งจ่ายไฟฟ้าหลักหรือมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เช่น โรงงานผลิตสินค้า หรือระบบการจ่ายไฟในเรือเดินสมุทร
- Data Center Power เหมาะสำหรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูล ระบบเครือข่าย และคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ต้องการพลังงานไฟฟ้าตลอดเวลา เพื่อป้องกันการหยุดชะงักของบริการ เช่น ศูนย์ข้อมูลของบริษัทเทคโนโลยี ธนาคาร และองค์กรที่ให้บริการออนไลน์
- Limited time running power เหมาะสำหรับการใช้งานชั่วคราวหรือการทดสอบระบบที่ต้องการพลังงานสูงในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น งานเทศกาล คอนเสิร์ต หรือการจัดแสดงสินค้า
- Unlimited Running time Prime Power เหมาะสำหรับการใช้งานในระยะเวลาจำกัด โดยสามารถรองรับการทำงานที่โหลดสูงสุดในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น การทดสอบเครื่องจักร หรือการใช้งานชั่วคราวในกิจกรรมพิเศษต่างๆ
สรุป
Prime Power คือพิกัดกำลังที่ใช้จ่ายไฟฟ้าต่อเนื่องในระยะยาว โดยไม่จำกัดเวลา ใช้ในสถานที่ที่ไม่มีแหล่งจ่ายไฟฟ้าหลักหรือมีความต้องการพลังงานตลอดเวลา เช่น โรงงาน หรือไซต์งานก่อสร้าง ต่างจาก Standby Power คือพิกัดกำลังที่ใช้เป็นไฟสำรองในกรณีไฟฟ้าหลักขัดข้อง ใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่เกิน 200 ชั่วโมงต่อปี ใช้ในสถานที่ที่มีไฟฟ้าหลักอยู่แล้ว เช่น อาคารสำนักงาน หรือโรงพยาบาล
โดยที่ Chuphotic มีเครื่องปั่นไฟที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ห่างไกลและป้องกันการขัดข้องของไฟฟ้า สามารถใช้ในสถานการณ์ที่ไฟฟ้าหลักไม่สามารถใช้งานได้